ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้รู้หรือบางคนจะเรียกว่า อูลามาอฺ เราทุกคนจะให้ความสำคัญเสมอ เนื่องจากผู้รู้คือผู้ที่ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และขยันทำอามาลอีบาดะฮฺต่อพระองค์อยู่เสมอ ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่รู้กลับไม่ค่อยทำอีบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.)
ด้วยเหตุนี้ Berita Muslim (เบอรีตามุสลิมนิตยสารมุสลิมออนไลน์) จึงมองเห็นว่า หากวันหนึ่งเราได้เป็นผู้รู้ อย่าได้คิดหยิ่งยโสต่อผู้ที่ไม่รู้เด็ดขาด เพราะบางทีวันหนึ่งข้างหน้า ผู้ที่ไม่รู้อาจจะได้รับฮีดายะฮฺ (ชี้ทาง) จากพระองค์ ให้เป็นผู้รู้ที่ดียิ่งกว่าเราก็เป็นได้ ฉะนั้นจงห่างไกลนิสัยหยิ่งยโสโอหังเพราะเป็นนิสัยของชัยฎอน
ซึ่งเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องราวและคำสอนจากอุสตาซคนหนึ่งซึ่งน่ามหัศจรรย์ในแง่คิด
เรื่องมีอยู่ว่า….
มีผู้รู้คนหนึ่ง ซึ่งได้ทำงานเพื่อหนทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และเป็นผู้ที่ขยันทำอามาลอีบาดะฮฺต่อพระองค์อยู่เสมอ และได้พักอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากผู้คนมากนัก
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ที่ไม่รู้คนหนึ่ง ซึ่งวันๆ มีแต่เรื่องไร้สาระ เต็มไปด้วยสิ่งมะอฺสียัต (สิ่งที่ไม่ดี) และที่หนักไปกว่านั้นคือ ไม่ทำอีบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.)
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้ผู้ไม่รู้ มีความอยากพบกับผู้รู้ เนื่องจาก ผู้รู้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ และในทางกลับกันตัวเขาเองเต็มไปด้วยสิ่งมะอฺสียัต (สิ่งที่ไม่ดี) ด้วยความอนุมัติจากพระองค์ จึงทำให้ผู้ไม่รู้ได้ไปพบกับผู้รู้ในที่สุด
ขณะที่ผู้ที่ไม่รู้ได้พบกับผู้รู้ ในใจของเขารู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่านักในหนทางของพระองค์ แต่กลับมองผู้รู้ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและเชิดชูท่านเป็นอย่างมาก จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่กลับทำสัญลักษณ์ด้วยมือ ประมาณท่าที่ยกย่องท่านผู้รู้ (ประมาณว่ายกนิ้วโป้ง หรือ คำเชิญที่เชิดชูท่านผู้รู้)
เมื่อผู้รู้เห็นเช่นนั้น จึงฉุดคิดในใจว่า “มันเหมาะสมแล้วแหละที่ผู้ไม่รู้อย่างคุณจะต้องเชิดชูคนอย่างฉันซึ่งเป็นที่รักของพระองค์” จึงทำให้เขาคิดว่าตัวเองสูงส่งในสายตาของพระองค์ และกลับมองผู้ที่ไม่รู้ด้วยหัวใจที่เย้ยหยันและหยิ่งยโส
เพราะเหตุดังกล่าวเช่นกันที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) อาจจะดึงฮีดายะฮฺ ออกจากผู้รู้เพียงแค่มองผู้อื่นด้วยความหยิ่งยโสโอหัง ในทางกลับกัน บางทีอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อาจจะเปิดฮีดายะฮฺ ให้กับผู้ที่ไม่รู้ เพียงแค่เขาเชิดชูผู้รู้ที่เป็นที่รักของพระองค์ ในการทำอามาลอีบาดะฮฺอยู่เสมอ ในส่วนลึกจิตใจของผู้ที่ไม่รู้มีความอยากเป็นคนดี จึงทำให้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เปิดฮีดายะฮฺก็เป็นได้
ขณะเดียวกันมันคือหน้าที่หนึ่งของผู้รู้ต้องขอดุอาอฺให้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เปิดอีดายะฮฺให้ผู้ที่ไม่รู้ได้กลับเนื้อกลับใจ เพื่อเป็นคนดีมีอีหม่าน เนื่องจากตัวเขาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ อินชาอัลลอฮฺ ดุอาอฺจะถูกตอบรับได้เร็ว ไม่ใช่กลับรู้สึกเย้ยหยันต่อเขาในฐานะที่ตนเองที่ได้เป็นคนดี เพราะความหยิ่งยโสเปรียบเสมือนนิสัยของชัยฎอน และอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ไม่ชอบผู้ที่หยิ่งยโสเช่นกัน
ตามอัลกุรอานในซูเราะฮฺ ซูเราะฮฺลุกมาน อายัตที่ 18
ความว่า “และเจ้าอย่าหันแก้ม (ใบหน้า) ของเจ้าให้แก่ผู้คนอย่างยโส และอย่าเดินไปตามแผ่นดินอย่างไร้มรรยาท แท้จริง อัลลอฮฺ มิทรงชอบทุกผู้หยิ่งจองหอง และผู้คุยโวโอ้อวด”
เพิ่มเติมจาก ซูเราะฮฺ อัน-นะฮลฺ อายัต 23
ความว่า “….แท้จริงพระองค์มิทรงรักพวกหยิ่งผยอง”
นอกจากนี้ท่านนบีมูฮำหมัด (ซ.ล.) กล่าวไว้เกี่ยวกับคนที่ชอบหยิ่งยโสโอหังในฮาดิษบทหนึ่ง
ความว่า “บุคคล 3 ประเภท ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะไม่พูดกับเขา จะไม่ขัดเกลาให้แก่เขา ไม่มองเขาในวันกิยามะฮฺ และบุคคลเหล่านี้จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ บุคคลเหล่านั้นได้แก่ คนชราที่ทำซินา กษัตริย์จอมโกหก และยาจกที่อวดโตหยิ่งผยอง”
ฉะนั้นขอให้มุสลิมทุกคน หากวันหนึ่งเราเป็นผู้รู้อย่าคิดว่าตัวเองดี และรู้สึกเย้ยหยันต่อผู้อื่น แต่ให้เรารู้จักถ่อมตนกับพระองค์ อินชาอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะยกย่องเราเองโดยที่เราไม่จำเป็นต้องยกย่องตัวเองเลย
เรียบเรียงโดย Fateemoh : Beritamuslimmag.com
ขอขอบคุณภาพประกอบโดย autonet.id.