70 ปีสัมพันธภาพอินโดนีเซีย-ไทย
สัมภาษณ์เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย
H.E. Mr. Ahmad Rusdi
โดย มารียะห์ ขัตติยะอารี บรรณาธิการกิตติมศักดิ์ / Mareeyah Kattiyaaree
H.E. Mr. Ahmad Rusdi เอกอัครราชทูตอินโดนีเชียประจำประเทศไทยได้ให้เกียรติ BERITA MUSLIM LIFE เข้าพบและสัมภาษณ์พิเศษ ณ สถานเอกอัครราชทูต ในโอกาสครบรอบ70ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับไทย
ขอทราบภารกิจของท่านในฐานะเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย
ภารกิจหลักของข้าพเจ้าคือ การกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของอินโดนีเซียในไทย
สำหรับทั้งสองประเทศนั้นได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่ 7 มีนาคม ค.ศ.1950 จากนั้นได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิด มีการเยี่ยมเยือนของผู้นำซึ่งกันและกันเสมอมา อย่างไรก็ตามในฐานะสมาชิกASEAN ทั้งสองประเทศมีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างสันติสุข ความมั่นคง ความรุ่งเรือง ให้เกิดขึ้นในภูมิภาค
ท่านคิดว่าประสบความสำเร็จในภารกิจที่ทำเป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดำเนินการไปได้ด้วยความราบรื่น และสร้างประโยช์ในหลากหลายรูปแบบของความร่วมมือทางเศรฐกิจ เนื่องจากทั้งสองประเทศมีพื้นฐานทางโอกาสและศักยภาพมากมายที่จะพัฒนาการค้าและการลงทุนร่วมกัน
“ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ในฐานะคู่ค้าที่สำคัญของอินโดนีเซียและเป็นอันดับ11 ในฐานะผู้ลงทุนจากต่างประเทศของอินโดนีเซีย โดยสินค้าส่งออกสำคัญของอินโดนีเซียมายังประเทศไทยคือ น้ำมันดิบ แร่ธาตุ เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ อะไหล่รถยนต์ อาหารทะเล เยื่อกระดาษ และในปีนี้อินโดนีเซียยังได้ขายเครื่องบินเพื่อการเกษตร 2 เครื่อง ให้กับรัฐบาลไทย ในขณะที่สินค้านำเข้าจากไทยจะมีรถยนต์ อะไหล่ เครื่องจักร เครื่องมือต่างๆ เหล็กกล้า รถจักรยานยนต์ โลหะและผลิตภัณฑ์ ข้าวมันสำปะหลัง สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหาร”
“นอกจากนี้ยังมีธุรกิจด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศซึ่งสำคัญมาก โดยในปี ค.ศ.2018 มีนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียเข้ามาประเทศไทยประมาณ 644,043 คน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปอินโดนีเซียประมาณ 122,252 คน
อนึ่งในปี 2019 อินโดนีเซียมีเป้าหมายจากนักท่องเที่ยวประมาณ 20 ล้านคน เพื่อจะนำรายได้เข้ามาข่วยด้านเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม ร้านอาหาร ของที่ระลึก สินค้าและศิลปหัตถกรรม”
ท่านมองความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโค วิโดโด อย่างไรบ้าง
ในการดำรงตำแหน่งในวาระที่สองของท่านประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ท่านจะสานต่อแนวคิด 5 ประการที่ท่านวางไว้ในแผนพัฒนาประเทศ ซึ่งก็รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการสร้างโอกาสทางการลงทุนเพื่อสร้างงานและเพื่อความเจริญเติบโตภายในประเทศ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคASEANรองจากอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม สามารถยกระดับจากประเทศที่มีรายได้ต่ำไปสู่ประเทศที่ประชากรมีรายได้ปานกลางและค่อนข้างสูง นับเป็นเรื่องราวแห่งความสำเร็จในการพัฒนาประเทศจนพ้นจากภาวะความยากจนในช่วงปีค.ศ.1980
“ไทยและอินโดนีเซียได้พัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าและมีการลงทุนหลายด้านเช่น ภาคการผลิต การท่องที่ยว เกษตรกรรม พลังงาน แร่ธาตุ การคมนาคมขนส่ง โลจิสติกส์ อย่างไรก็ตามบริษัทจากไทยที่ลงทุนในอินโดนีเซียมีหลายบริษัท เช่น เอสซีจี เจริญโภคภัณฑ์ บ้านปู ปตท. ธนาคารกรุงเทพ ไทคอน Ratch อินโดรามา”
“ขณะที่บริษัทของอินโดนีเซียที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมี GARUDA INDONESIA (สายการบินการูด้า) PERTAMINA LION AIR SAMUDERA GOJEK ซึ่งอินโดนีเซียมีเป้าหมายลดดุลการค้ากับไทย สร้างการค้าระดับทวิภาคีให้สมดุลและยั่งยืน อีกทั้งเพิ่มการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างผู้คนของทั้งสองประเทศในรูปแบบการท่องเที่ยว การศึกษาและการแลกเปลี่ยนในกิจการเยาวชน”
ในระหว่างที่พำนักในประเทศไทย ท่านมีความประทับใจอย่างไรบ้าง
ข้าพเจ้ามีความประทับใจในมิตรภาพ ความเอื้ออาทรของคนไทยที่มีลักษณะคล้ายกับชาวอินโดนีเซีย ชาวไทยโดยรวมทั้งชาวพุทธ-มุสลิม เป็นผู้ที่ศรัทธาในศีลธรรม มีมนุษยสัมพันธ์และความโอบอ้อมอารีเป็นพื้นฐาน ข้าพเจ้าเข้าใจและสามารถอยู่ในวัฒนธรรมไทยอย่างมีความสุขจนถึงทุกวันนี้ ในภารกิจการเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยนับเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับข้าพเจ้าและครอบครัว
โปรยปก
H.E. MR. AHMAD RUSDI INDONESIAN AMBASSADOR