มัสยิดหลังนี้ก่อตั้งขึ้นโดยมุสลิมที่อพยพจาก 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานคร ในอดีตนั้นเป็นชุมชนขนาดเล็กที่อยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องและได้จัดตั้งมัสยิดขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ โดยมีครูมะห์มูด มุขตารี เป็นผู้ตั้งชื่อมัสยิดแห่งนี้ว่า
“ดารุ้ลอะมาน” ซึ่งมีความหมายว่า “บ้านแห่งความสันติ”
เดิมทีบริเวณนี้มีคลองอยู่หน้าและด้านข้างมัสยิด การเดินทางของพี่น้องมุสลิมก็อาศัยเส้นทางน้ำจากคลองแสนแสบ
ตั้งแต่อดีตมีโรงเรียนสอนศาสนาซึ่งครูมะห์มูด มุขตารี เป็นผู้ก่อตั้ง
แล้วก็มีผู้ที่ทำการเรียนการสอนในเรื่องของกีตาบ อาหรับ มลายู โดยมีมุสลิมจากหลายที่ทั้งหนองจอก นครนายก ฉะเชิงเทรา
มาเรียนรวมทั้งมาประกอบอาชีพ จนกลายเป็นชุมชนมุสลิมขนาดใหญ่ขึ้นมาและปัจจุบันทางมัสยิดก็มีการเรียนการสอนฟัรดูอีนทุกวัน
ขณะเดียวกันก็มีผู้คนหลากหลายเข้ามาประกอบอาม้าลอิบาดะห์
โดยเฉพาะวันศุกร์จะเห็นมุสลิมมากหน้าหลายตามารวมตัวกันที่นี่และละหมาดร่วมกันไม่ต่ำกว่า
700 คน ส่วนในช่วงรอมฎอนทางมัสยิดก็จะจัดเลี้ยงละศีลอดและมีผู้มาร่วมไม่ต่ำกว่า
350 คนต่อวัน มัสยิดหลังนี้มีพื้นที่กว้างขวางและใช้สอยได้อย่างคุ้มค่าตามเจตนารมณ์ของผู้ที่วากัฟที่ดิน
ประการสำคัญกรรมการมัสยิด สัปบุรุษ
ประธานชุมชน ต่างร่วมกันพัฒนาให้ชุมชนและมัสยิดแห่งนี้อยู่ในสถานะที่ดีรวมทั้งอยู่ร่วมกันกับต่างศาสนิกอย่างมีความสุข
ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
มัสยิดแห่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่จุดศูนย์กลางของชุมชน แต่เป็นจุดศูนย์กลางของกรุงเทพมหานครด้วย เมื่อมีพี่น้องมุสลิมเดินทางมา
มัสยิดได้ดูแลต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่น