“ผมไม่อยากซ้ำเติมความเจ็บปวดให้ใคร”
เมื่อย้อนกลับไปในปี 2562 มีข่าวหนึ่งซึ่งดังสะพัดในสังคมไทยและเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก นั่นก็คืออุบัติเหตุที่มีชายคนหนึ่งเมาแล้วขับรถพุ่งชนร้านเฟอร์นิเจอร์ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 80 ล้านบาท แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ “อัชอารีย์ วันอับดุลเลาะฮ” หรือ บังฉ่ำ เจ้าของธุรกิจซึ่งเป็นมุสลิม ได้เลือกที่จะให้อภัย และมีการตั้งคำถามมาตลอดว่า อะไรคือเหตุผลสำคัญที่มุสลิมคนนี้ให้อภัย และไม่ได้ดำเนินการทางกฎหมายใดๆกับผู้ก่ออุบัติเหตุในครั้งนั้น!!! BML จะพาไปหาคำตอบ
“เป้าหมายในชีวิตของมุสลิมนั้น หากเราทำความเข้าใจ ริสกีนั้นเป็นเพียงปัจจัยยังชีพเพื่อดำเนินชีวิตจนถึงวันที่สิ้นลม แต่สิ่งที่เราสนใจจริงๆนั้นคือโลกหน้าอันถาวร โดยที่เรานั้นก็ได้รับบททดสอบจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)”
“ ซึ่งผมนั้นก็ได้นึกถึงพระองค์ รวมถึงคำสอนของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.) ดังนั้นการให้อภัยจึงเป็นทางออกของผม และก็ซอบัรเพื่อได้รับสิ่งที่ดีกว่าที่พระองค์นั้นจะทรงประสงค์” คุณอัชอารีย์ วันอับดุลเลาะฮ กล่าว
อีกสิ่งหนึ่งที่มุมินบอกกับBMLก็คือ “อัลลอฮฺ (ซ.บ.) นั้นได้ให้มนุษย์มาสองสิ่งอย่างเท่าเทียมกัน เป็นสองสิ่งที่จะไม่ได้เลิศเลอกว่าใครนั่นคือ ความทุกข์กับความสุข อยู่ที่เรานั้นจะเลือกอยู่กับสิ่งไหนในทุกๆเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ทุกวันนี้ถ้าผมเลือกความทุกข์ ผมคงต้องยังเข้าศาล และจัดการกับเรื่องราวมากมายและอาจจะทำให้ คู่กรณีของเรานั้นต้องลำบากเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากซ้ำเติมความเจ็บปวดให้ใคร เพราะอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากให้เกิดขึ้น และผมก็ไม่เสียดายและไม่เศร้ากับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว พร้อมกับมุ่งหน้าทำงาน และความรับผิดชอบที่จะมาในข้างหน้าดีกว่า”
ในเรื่องธุรกิจเขามีแนวคิดที่จะก้าวผ่านเรื่องต่างๆที่เสียหายไปแล้วได้เป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่มีความน่าสนใจอย่างมากก็คือ ทัศนคติในการทำธุรกิจ จากประสบการณ์เขาก็ได้ฝากข้อคิดว่า “การเริ่มต้นนั้นยากเสมอ หลังจากนั้นคือการตั้งใจ การใส่ใจกับการทำงานที่เราได้ทำว่าเราจะมีความต่อเนื่องและยังอดทนเรียนรู้กับสิ่งเหล่านั้นได้มากเท่าไหร่ หลังจากนั้นสิ่งที่เราได้ทำลงไป จะตอบเป็นความสำเร็จกลับมาให้เรา”
ในวัย 20 ปี คุณอัชอารีย์ วันอับดุลเลาะฮ ได้เริ่มการทำงานในฐานะลูกจ้างเพื่อเรียนรู้ขั้นตอนและระบบการทำงานต่างๆในองค์กร ต่อมาได้เริ่มทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจแรกในชีวิตของตนเอง จนกระทั่งปรับเปลี่ยนเป็นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ โดยมีหลักในการดำเนินธุรกิจว่า
“การทำงานของผมจะสอดแทรกอิสลามทั้งพื้นฐานและซุนนะห์เข้าไปอยู่ทุกจุด อย่างเช่น ในส่วนรายได้
เมื่อเราได้รับริสกีก็มาก็ต้องแบ่งปันในรูปแบบของซะกาตให้ถูกต้องตามหลักการศาสนา การค้าขายที่ยุติธรรมที่นำมาด้วยราคาที่จับต้องได้ เข้าใจลูกค้า ซึ่งก็สามารถผลักดันธุรกิจให้เดินหน้าไปได้ด้วยการครองใจผู้คน พร้อมกับการทำการค้าขายกับต่างศาสนิกต่างเชื้อชาติด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันไม่มีอคติ”
นอกจากนี้เขายังเปิดโอกาสให้กับบุคคลทั่วๆไปในการทำงานหรือการทำธุรกิจ ซึ่งก็เคยมีนักเรียน นักศึกษาที่ต้องมีรายได้จุนเจือครอบครัวและค่าใช้จ่ายสำหรับกับการศึกษา เขาก็เปิดโอกาสให้ทำงานและไม่ปิดกั้นกลยุทธ์การขายจน ทำให้การค้าขายในส่วนดังกล่าวทำให้มีผลประกอบการที่ดี และเขาก็แบ่งปันรายได้ให้กับนักเรียนคนนั้น
จากน้ำเสียงและท่าทางในการเล่าเรื่องที่สะท้อนความอิคลาสในหัวใจต่อทุกคำพูดที่ได้กล่าวออกมาจนเป็นเหมือนบทเรียนให้กับเราทั้งด้านศาสนาและการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ที่แม้จะมีบางอย่างเข้ามาทำให้เกิดการติดขัดหรือเสียหาย ซึ่งหลายๆคนอาจจะเรียกว่าความทุกข์ แต่เขาได้คิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือ บททดสอบจากพระเจ้า เพียงแค่เข้าใจในสิ่งที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้นประสงค์ดีกับบ่าวของพระองค์จริงๆ ความทุกข์ใดๆก็ตามก็จะผ่านไปได้พร้อมกับสิ่งที่ดีกว่าที่จะเข้ามาในอนาคตอย่างแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ